

สวนดอกคาลล่าฮวากู และ สวนดอกคาลล่าไฉฟู่ ที่อยู่ละแวกเดียวกันเป็นฟาร์มเพียงสองแห่งในจู๋จือหูที่ยืนหยัดในการปลูกข้าว…
คำแนะนำสถานที่
สวนดอกคาลล่าฮวากู และ สวนดอกคาลล่าไฉฟู่ ที่อยู่ละแวกเดียวกันเป็นฟาร์มเพียงสองแห่งในจู๋จือหูที่ยืนหยัดในการปลูกข้าว นี่เป็นโอกาสที่หายากในการสัมผัสประสบการณ์สวมชุดดำน้ำเพื่อเก็บดอกไม้ในทุ่งนา
หลู่ติงหยาง เจ้าของฟาร์มรุ่นใหม่กล่าวว่า “ผมหวังว่าจะให้บริการแบบไม่ได้มาตรฐาน” ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของเขาทำให้เกิดจุดเช็คอินออนไลน์ยอดฮิตหลายจุดจากการแนะนำของคนดังทั้งหลาย เช่น สระน้ำสีขาวที่นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำไปกับทะเลดอกไม้และสวนสไตล์ยุโรปใต้ต้นวิสทีเรียซึ่งเป็นจุดชมดอกไม้บานที่สวยงาม

เป็นเวลากว่า 50 ปีแล้วที่จู๋จือหูได้นำดอกคาลล่าลิลลี่เข้ามาปลูกในพื้นที่นี้ ก่อนหน้านี้ได้มีการประมูลดอกคาลล่าในตลาดดอกไม้ จึงทำให้เป็นที่รู้จักและกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ที่นี่ยึดหลักการปลูกดอกคาลล่าลิลลี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งต่างจากฟาร์มอื่นๆในหุบเขาแห่งดอกไม้ที่สลับสับเปลี่ยนดอกไม้ต่างๆนานา
หลู่ติงหยาง กล่าวว่าปู่ของเขา หลู่ไฉฝู่ ได้เริ่มจากการปลูกผักและดอกไม้ก่อน ต่อมาพ่อและลุงของเขาเปลี่ยนไปปลูกดอกไม้ประดับ “มีทุ่งดอกคาลล่าเป็นต้นกำเนิดของลูกหลานตระกูลหลู่ จากน้ำพักน้ำแรงหยาดเหงื่อของบรรพบุรุษ จึงได้มีสวนดอกไม้ฮวากูถึงทุกวันนี้” เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าพืชผลเน่าเสียหายจึงทำให้ไม่มีดอกไม้เลยทั้งปี แต่พอได้รับคำแนะนำจากสมาคมชาวนา ที่นี่จึงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น โดยลดดอกไม้น้อยลงและเพิ่มพื้นที่สีเหลืองมากขึ้น ซี่งมีความทนทานต่อโรคมากกว่าเมื่อก่อนมาก ที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีการขายดอกไม้ และกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวเก็บดอกไม้เท่านั้น แต่ยังมีเครื่องดื่มต่าง ทั้งชาสมุนไพร กาแฟ และล่าสุดมีกิจกรรมจิบชายามบ่ายให้ได้ชิวๆกันอีกด้วย
จุดเด่นทางการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกรรม
ดอกไม้
เนื่องมีตั้งอยู่บริเวณแหล่งน้ำ การประกอบอาหารจะก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำได้ ดังนั้นจึงไม่มีเสิร์ฟอาหารให้บริการที่นี่ มีเพียงแค่อาหารว่างและเครื่องดื่ม รวมถึงผลิตภัณฑ์ DIY ที่มีจำหน่ายไว้หลากหลายประเภท เช่น ลูกบอลหยก เทียนหอมดอกไม้แห้ง ช่อดอกไม้ , เทียนลายนูน ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการประดิษฐ์ดอกไฮเดรนเยียที่มาจากฟาร์มให้เป็น “ดอกไม้อมตะ” ซึ่งแข็งกว่าดอกไม้แห้ง ดอกไม้อมตะนี้จะคง “ความชื้น” ของดอกไม้ไว้ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับดอกไม้แห้ง และมีวิธีการทำที่ใช้เวลานานและใช้ทักษะมากกว่า
ประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่ควรพลาด ก็คือการสวมชุดกบลงไปในทุ่งนานั่นเอง ในขณะที่ช่วงระยะเวลาออกดอกของดอกคาลล่าเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคมของทุกปี และช่วงออกดอกสูงสุดคือเดือนมีนาคมถึงเมษายน นอกจากนี้ทางฟาร์มยังมีดอกไฮเดรนเยียให้ได้ชมอีกด้วย มีทั้งพันธุ์ขาว ฟ้า ม่วง และแดงอยู่เต็มพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีสีชมพูซึ่งหายากและจะบานตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม ส่วนดอกวิสทีเรียซึ่งปลูกไว้บนยอดเขาโดยร้อยเรียงเป็นสายทั้งสีขาวและสีม่วงเข้าไว้ด้วยกันในสไตล์ยุโรปเพิ่มความงดงามแปลกตายิ่งนัก ฟาร์มแห่งนี้เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันตรุษจีนจนถึงเดือนกรกฎาคมของปีถัดไป โดยมีค่าเข้าชม 100 ดอลล่าร์ไต้หวันใหม่ ราคานี้รวมชุดดำน้ำแล้ว