ไร่ชาเนเจอร์เกรนจ์
จากทางหลวงไฮเวย์อาลีซานกว่ายี่สิบเจ็ดกิโลเมตร ซึ่งคราคร่ำไปด้วยรถ มีคฤหาสน์ธรรมชาติ ประดับประดาด้วยบอลลูนสีรุ้งต้อนรับแขกที่มาเยือน มวลดอกไม้พลิ้วไหวตามสายลม สถานที่แห่งนี้ก่อกำเนิดแก่นแท้ของชาและให้ความรู้เรื่องวนิลลาพาให้คุณดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนเรียบง่ายและบริสุทธิ์ เป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
คำแนะนำสถานที่
จวงวี่รุ่ย เจ้าของ “ไร่ชาเนเจอร์เกรนจ์” เลือกที่จะเพาะปลูกแบบเป็นมิตรกับธรรมชาติ ไม่มีการใช้ปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลง เป็น”การปลูกสิ่งที่ควรปลูก” กำจัดพืชที่ไม่เหมาะสม เหลือไว้แต่ความสวยงามของดอกดาวเรืองใบหอมที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ มองจากด้านนอกจะเห็นเต็นท์สองสามหลังในห้องโถงซึ่งสร้างโลกส่วนตัวให้กับผู้มาเยือน
ปรมาจารย์ด้านชามืออาชีพชงชาชั้นดีมาเสิร์ฟที่โต๊ะกลางแจ้ง ทำให้เรากลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้ดี ทั้งเพลิดเพลินกับพิธีชงชาและฟินไปกับการลิ้มลองขนม
วนิลลาหอมอย่างมาเดอแลน
“ไร่ชาเนเจอร์เกรนจ์” เป็นสถานที่แห่งเดียวในอาลีซานที่ผสมผสานชาและวานิลลาเข้าด้วยกัน เจ้าของไร่ชา จวงวี่รุ่ย ผู้มากประสบการณ์ในการปลูกชากว่า 40 ปี ในปีพ.ศ.2555 เขาได้รับผลกระทบจากการนำเข้าชา จึงตัดสินใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง พาตัวเองไปไทเปเพื่อทำงานอย่างหนัก เขาใช้กล่องกระดาษคราฟท์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และชุดเครื่องชาที่ได้รับการพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกาน้ำชาทรงไม้ไผ่ กาน้ำชาทรงกลม ถือเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร
จุดเด่นทางการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกรรม
สมุนไพรและการย้อมสีธรรมชาติ
ในปีพ.ศ. 2563 เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมชา เขาได้กลับไปบริหารงานคฤหาสน์เขาอาลีซาน ทำให้ค้นพบสูตรชงชาผสมกับวนิลลาโดยบังเอิญนั้น และปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้กำหนดความเหนือชั้นของชาสมุนไพร 8 ชนิด โดยเฉพาะดอกดาวเรืองอันหรูหราที่สุด และสะระแหน่ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มรสชาติจัดจ้าน รวมถึงดอกมาร์จอแรมซึ่งเป็นพืชที่หายากในไต้หวัน และเป็นเมนูสุดท้ายที่ออกมา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของไร่ชาแห่งนี้
จวงวี่รุ่ย กล่าวว่าดอกดาวเรืองมีใบหอม ทนต่อความร้อนและอากาศแห้งแล้งได้ดี กลิ่นของมันทำหน้าที่ไล่ยุง และเมื่อปลูกรวมกันก็จะกลายเป็นทะเลดอกไม้
จวงวี่รุ่ย กล่าวว่ากระบวนการย้อมต้นชาก็เป็นอีกหนึ่งส่วนผสมตามธรรมชาติของชากับวนิลลาเหมาะสำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่ต้องการสัมผัสงานหัตถกรรม DIY อย่างง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอนก็สามารถนำเสนอการไล่ระดับสีและแต่ละชิ้นก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย